top of page

ค้นหาคำตอบของคุณได้ที่นี่

  • NestiFly คืออะไร
    NestiFly คือผู้ให้บริการแพลตฟอร์มสินเชื่อออนไลน์ระหว่างบุคคลกับบุคคล (Peer-to-Peer Lending Platform) เปรียบเสมือนตัวกลางที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อผู้ขอสินเชื่อที่มีศักยภาพ ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากนักลงทุนที่กำลังมองหาโอกาสในการสร้างผลตอบแทนรูปแบบใหม่ ผ่านระบบ Smart Contract บนเทคโนโลยี Blockchain
  • StockLend by NestiFly คืออะไร
    StockLend by NestiFly เป็นผลิตภัณฑ์แรกของ NestiFly ซึ่งเป็นสินเชื่ออเนกประสงค์ที่ใช้หุ้นใน SET เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน โดยมี บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด เป็นผู้ให้บริการเก็บรักษาเงินและหลักประกันระหว่างผู้ขอสินเชื่อและนักลงทุน
  • Peer-to-Peer Lending คืออะไร และอยู่ภายใต้กฏหมายใด
    Peer-to-Peer Lending คือ การกู้ยืมระหว่างบุคคลกับบุคคลผ่านช่องทางออนไลน์ โดยมีแพลตฟอร์มเป็นตัวกลางทำหน้าที่จับคู่ระหว่างผู้ขอสินเชื่อและนักลงทุนที่มีความต้องการตรงกัน แพลตฟอร์มสินเชื่อระหว่างบุคคลกับบุคคล (Peer-to-Peer Lending Platform) อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย
  • เทคโนโลยี Blockchain คืออะไร
    Blockchain คือ ระบบโครงข่ายในการเก็บบัญชีธุรกรรมออนไลน์ ซึ่งมีลักษณะเป็นเครือข่ายใยแมงมุมที่เก็บสถิติการทำธุรกรรมทางการเงินและสินทรัพย์ชนิดอื่นๆ ในอนาคต โดยไม่มีตัวกลางคือสถาบันการเงินหรือสำนักชำระบัญชี ข้อมูลจาก สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล
  • Smart Contract คืออะไร และ Blockchain มีส่วนในการดำเนินการนี้ได้อย่างไร
    การนำเทคโนโลยี Blockchain มาใช้ในการบันทึกข้อตกลงของสัญญาที่สามารถดำเนินการได้ด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องมีคนกลาง หรือใช้พนักงานในการมานั่งตรวจสอบเอกสาร โดยทุกอย่างให้คอมพิวเตอร์และโปรแกรมจัดการ และทำการ Hack ข้อมูลได้ยาก
  • สิ่งที่ใช้สำหรับการสมัครใช้บริการมีอะไรบ้าง
    1. บัตรประชาชนตัวจริงไม่หมดอายุ 2. โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนระบบ iOS หรือ Android โดยลูกค้าสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน StockLend by NestiFly ได้ทั้งระบบปฏิบัติการ Android ผ่านทาง Play Store และระบบปฏิบัติการ IOS ผ่านทาง App Store เมื่อติดตั้งแอปพลิเคชันแล้ว ลูกค้าสามารถลงทะเบียนได้โดยใช้บัตรประชาชนของท่านในการสมัครใช้บริการ และทำการยืนยันตนผ่าน NDID
  • บริการยืนยันตัวตนแบบดิจิทัล (NDID) คืออะไร
    NDID คือ ตัวตนของผู้ใช้บริการบนโลกดิจิทัลที่สามารถทำธุรกรรมออนไลน์ต่างๆ เช่น การเปิดบัญชีเงินฝากออนไลน์ การสมัครขอสินเชื่อออนไลน์ เป็นต้น โดยไม่ต้องเดินทางไปที่สาขา หรือสำนักงาน เพื่อทำการแสดงตนสำหรับสมัครบริการ การยืนยันตัวตนผ่าน NDID จะเป็นการใช้ตัวตนที่ผู้ใช้บริการมีอยู่กับธนาคารต่างๆ เพื่อทำให้สามารถสมัครใช้บริการ StockLend by NestiFly ได้อย่างสะดวก และรวดเร็ว การลงทะเบียน NDID สามารถทำได้หลายช่องทาง โดยสามารถตรวจสอบรายละเอียดต่างๆ จากธนาคารที่ท่านใช้บริการ ได้แก่ > เคาน์เตอร์ธนาคาร - ไปที่เคาน์เตอร์ธนาคารสาขาที่ให้บริการ - แจ้งความประสงค์ต่อเจ้าหน้าที่ธนาคารว่าต้องการลงทะเบียน NDID พร้อมยื่นบัตรประชาชน - เจ้าหน้าที่ธนาคารจะแนะนำขั้นตอนในการลงทะเบียน เช่น กรอกข้อมูลลงในระบบ ถ่ายรูป ยอมรับเงื่อนไขการใช้บริการระบบ และ/หรือ เปิดใช้บริการ mobile banking ที่ผูกกับ NDID ของคุณ > แอปพลิเคชันของธนาคาร - เข้าไปที่แอปพลิเคชันของธนาคารที่ท่านเลือก - กดเลือก ‘NDID’ - ระบบจะทำการตรวจสอบ เก็บรวบรวมข้อมูลในฐานข้อมูล และแนะนำขั้นตอนการลงทะเบียน เช่น กรอกข้อมูลเพิ่มเติม ถ่ายรูป และยอมรับเงื่อนไขการใช้บริการระบบ
  • LTV คืออะไร
    LTV หรือ Loan-to-Value คือ อัตราส่วนมูลค่าสินเชื่อต่อหลักทรัพย์ค้ำประกัน เช่น ถ้าหลักทรัพย์ของคุณมีมูลค่า 1,000,000 บาท และคุณเลือกระดับ LTV ที่ 40% นั่นหมายความว่า มูลค่าสินเชื่อที่คุณจะได้รับ เท่ากับ 400,000 บาท เป็นต้น ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ LTV ได้ที่นี่ คลิก
  • LTV Alert และ Forced Sell คืออะไร
    ระหว่างระยะเวลาการปล่อยสินเชื่อ ระบบจะมีการติดตามมูลค่าหลักทรัพย์เป็นรายวัน โดยใช้ราคาปิดของหุ้นในแต่ละวันเพื่อมาคำนวณระดับ LTV ของแต่ละสัญญาเงินกู้ หากระดับ LTV เพิ่มขึ้นถึง 65% ระบบจะส่งแจ้งเตือน "LTV Alert" ไปยังผู้กู้ โดยผู้กู้จะสามารถนำเงินมาชำระคืนสินเชื่อก่อนบางส่วนได้ เพื่อลดระดับ LTV ลงและลดความเสี่ยงในการถูกบังคับขายหลักประกัน หากระดับ LTV เพิ่มขึ้นถึง 75% ระบบจะส่งแจ้งเตือน "Forced Sell" ไปยังผู้กู้ โดยผู้กู้จะต้องชำระเงินคืนเพื่อลดระดับ LTV ลงให้เท่ากับระดับ LTV ณ วันที่เริ่มทำสัญญาเงินกู้ภายในระยะเวลาที่กำหนด หากไม่สามารถดำเนินการได้ ระบบจะทำการบังคับขายหลักประกันและนำมาชำระคืนสินเชื่อเพื่อให้ระดับ LTV ลดลงเท่ากับระดับ LTV ณ วันที่เริ่มทำสัญญาเงินกู้ ในกรณีที่สัญญาครบกำหนดชำระแล้ว ผู้กู้ยังไม่สามารถชำระคืนสินเชื่อได้ครบจำนวน ระบบจะทำการแจ้งเตือนให้นำเงินมาชำระคืนอีกครั้ง หากผู้กู้ไม่สามารถนำเงินมาชำระคืนได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด ระบบจะทำการบังคับขายหลักประกันเพื่อชำระคืนสินเชื่อทั้งจำนวน รวมถึงดอกเบี้ยผิดนัดด้วย
  • ระบบมีกลไกการจับคู่ระหว่างผู้ขอสินเชื่อและนักลงทุนอย่างไร
    ระบบจะจับคู่คำขอสินเชื่อที่มีความเสี่ยงภายใต้เกณฑ์การลงทุนที่นักลงทุนกำหนด โดยคำขอสินเชื่อที่ส่งรายงานข้อมูลเครดิตเเละเครดิตสกอริ่งจาก NCB เข้ามาในระบบก่อน และนักลงทุนที่กำหนดเกณฑ์การลงทุนและโอนเงินเข้ามาในบัญชี Cash Balance (P2P) ก่อน ด้วยจำนวนขั้นต่ำ 10,000 บาท นอกจากนี้ ในการจับคู่สินเชื่อ บริษัทคำนึงถึงการกระจายโอกาสการลงทุนไปยังนักลงทุนทุกรายด้วยเกณฑ์ประวัติการลงทุน และประเภทนักลงทุนต่อขนาดสินเชื่อ
  • หากต้องการเปลี่ยนบทบาทจากนักลงทุนเป็นผู้ขอสินเชื่อ หรือเปลี่ยนจากผู้ขอสินเชื่อเป็นนักลงทุน สามารถได้หรือไม่
    ลูกค้าสามารถเปลี่ยนบทบาทได้ ก็ต่อเมื่อไม่มีสัญญาคงค้างในระบบแล้ว ในกรณีที่ต้องการเปลี่ยนบทบาทและไม่มีสัญญาคงค้างในระบบ ลูกค้าสามารถเลือก "อื่น ๆ" ตรงเเถบเมนูด้านล่าง เเล้วเลือกบัญชีผู้ใช้งาน จากนั้นเลือกเปลี่ยนบทบาทจากผู้กู้ เป็น ผู้ให้กู้ หรือจาก ผู้ให้กู้ เป็น ผู้กู้
  • ใครสามารถขอสินเชื่อผ่าน StockLend by NestiFly ได้บ้าง
    ผู้ที่สามารถขอสินเชื่อ StockLend by NestiFly ได้จะต้องมีคุณสมบัติดังนี้ 1. บุคคลธรรมดาสัญชาติไทย อายุ 20 ปีขึ้นไป 2. มีบัญชีหลักทรัพย์กับผู้ให้บริการเก็บรักษาเงินและหลักประกัน (Custodian) บล.ลิเบอเรเตอร์ 3. มีรายงานข้อมูลเครดิตและเครดิตสกอริ่งจาก NCB
  • การขอสินเชื่อ StockLend by NestiFly ต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง
    หากผู้ขอสินเชื่อมีบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์กับ บล. ลิเบอเรเตอร์ อยู่แล้ว สามารถใช้บัตรประชาชนตัวจริงที่ไม่หมดอายุและรายงานข้อมูลเครดิตและเครดิตสกอริ่งจาก NCB เพื่อสมัครใช้บริการผ่านแอปพลิเคชัน StockLend by NestiFly ได้เลย หากผู้ขอสินเชื่อยังไม่มีบัญชีหลักทรัพย์กับ บล. ลิเบอเรเตอร์ ผู้ขอสินเชื่อจะต้องเตรียมเอกสารสำหรับการเปิดบัญชีหลักทรัพย์กับ บล. ลิเบอเรเตอร์ ใหม่ ดูขั้นตอนการเปิดบัญชีลิเบอเรเตอร์ได้ ที่นี่
  • สามารถใช้หุ้นอะไรเป็นหลักประกันได้บ้าง
    ผู้ขอสินเชื่อสามารถนำหุ้นกี่ตัวมาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันก็ได้ เเต่ต้องเป็นหุ้นที่อยู่ในรายชื่อหุ้นหลักประกันตามที่บริษัทกำหนด สามารถดูได้ ที่นี่ ทั้งนี้หากหุ้นที่นำมาใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันใน 1 คำขอสินเชื่อมาจากทั้งกลุ่ม MAX60 MAX50 และ MAX40 ระบบจะทำการเเยกสัญญาเงินกู้ออกเป็น 3 สัญญาสำหรับหุ้นเเต่ละกลุ่ม
  • สามารถขอสินเชื่อได้ที่วงเงินเท่าไร
    วงเงินที่สามารถขอสินเชื่อได้ขั้นต่ำ 50,000 บาทต่อสัญญา เเละสูงสุดไม่เกิน 50 ล้านบาท หมายเหตุ วงเงินสูงสุดที่สามารถขอสินเชื่อได้ไม่เกิน 50 ล้านบาท เป็นวงเงินสินเชื่อที่รวมทุก เเพลตฟอร์ม Peer-to-Peer Lending
  • สินเชื่อ StockLend มีค่าใช้จ่ายหรือค่าธรรมเนียมอะไรบ้าง
    ในกรณีทั่วไป การขอสินเชื่อกับ StockLend by NestiFly จะมีค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ดังนี้ ค่าธรรมเนียมการใช้บริการเเพลตฟอร์ม 1.50% - 2.10% ของมูลค่าสินเชื่อ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการขอสินเชื่อ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) โดยคำนวณจาก 7% ของค่าธรรมเนียมการใช้บริการเเพลตฟอร์ม อากรเเสตมป์ โดยคำนวณจากทุกยอดสินเชื่อ 2,000 บาท จะมีค่าอากรแสตมป์ 1 บาท (สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท)​ ซึ่งเป็นไปตาม……หมวด 6 อากรเเสตมป์ *ค่าใช้จ่ายในข้อ 1. 2. เเละ 3. จะถูกเรียกเก็บก็ต่อเมื่อสามารถจับคู่เงินลงทุนสำเร็จ และจะหักออกจากเงินที่ผู้กู้จะได้รับ ณ วันเริ่มสัญญา ในบางกรณีที่ผู้กู้ไม่สามารถชำระคืนสินเชื่อได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมดังต่อไปนี้ ค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ กรณีที่เกิดการบังคับขายหลักประกัน ผู้กู้จะต้องเสียค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ 1% ของมูลค่าการซื้อขายหลักประกันในบัญชี Cash Balance (P2P) (ไม่รวม VAT 7%) ตามที่บริษัทหลักทรัพย์กำหนด ดอกเบี้ยผิดนัด กรณีผู้กู้ไม่สามารถชำระคืนสินเชื่อได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดตามสัญญาเงินกู้ ผู้กู้จะต้องจ่ายค่าดอกเบี้ยผิดนัดในอัตรา 15% ต่อปี โดยคิดเป็นรายวันจนกว่าผู้กู้จะชำระหนี้ครบถ้วนสมบูรณ์
  • ในกรณีที่มีการบังคับหลักประกัน ผู้กู้หรือผู้ให้กู้ต้องเสียค่าใช้จ่ายหรือค่าธรรมเนียมใดเพิ่มเติมหรือไม่
    กรณีเกิดการบังคับขายหลักประกัน (Forced Sell) ผู้กู้หรือผู้ให้กู้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย หรือค่าธรรมเนียมใดเพิ่มเติมให้แก่ NestiFly เเต่ผู้กู้ต้องเสียค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ในบัญชี Cash Balance (P2P) ให้กับ บริษัท ลิเบอเรเตอร์ จำกัด ในอัตรา 1%* ของมูลค่าการซื้อขาย เเละค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ที่ต้องนำส่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในอัตรา 0.007%* หมายเหตุ *อัตราค่าธรรมเนียมดังกล่าว ยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 7% *บริษัท ลิเบอเรเตอร์ จำกัด จะหักค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับการขายหลักทรัพย์ทั้งหมด ออกจากเงินที่ได้จากการขายหลักทรัพย์ ก่อนนำมาชำระหนี้เเละดอกเบี้ยผิดนัดของผู้กู้ อ้างอิงจากประกาศ Liberator: อัตราค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ กรณีบังคับขายหลักประกันในบัญชี Cash Balance (P2P) รายละเอียดเพิ่มเติม: การบังคับขายหลักประกัน (Forced Sell)
  • กระบวนการขอสินเชื่อต้องใช้เวลานานเท่าไหร่
    หลังจากผู้ขอสินเชื่อกดยืนยันการส่งคำขอสินเชื่อแล้ว ระบบจะใช้เวลาอย่างน้อย 1 วันในการพิจารณาคำขอสินเชื่อ และถ้าคำขอสินเชื่อผ่านการอนุมัติ ระบบจะเริ่มจับคู่คำขอสินเชื่อทันที ในกรณีที่มีเงินพร้อมลงทุนตรงกับเงื่อนไขในคำขอสินเชื่อ ผู้ขอสินเชื่อจะได้รับเงินอย่างเร็วที่สุดภายใน 1 วันทำการ ทั้งนี้ ในกรณีที่ไม่สามารถจับคู่ได้ภายใน 10 วันทำการ หรือมูลค่าหลักประกันเปลี่ยนแปลงเกิน 5% ระบบจะทำการยกเลิกคำขอสินเชื่อดังกล่าวโดยอัตโนมัติ
  • ผู้ขอสินเชื่อสามารถยกเลิกคำขอสินเชื่อได้หรือไม่
    ผู้ขอสินเชื่อสามารถยกเลิกคำขอสินเชื่อได้ตลอดเวลาก่อนการจับคู่กับเงินลงทุนจะสำเร็จ โดยผู้ขอสินเชื่อสามารถกดปุ่ม “ยกเลิกคำขอสินเชื่อ” ได้ในแอปพลิเคชัน StockLend by NestiFly
  • ผู้ขอสินเชื่อจะได้รับเงินกู้จากช่องทางไหน
    เมื่อคำขอสินเชื่อได้รับการจับคู่ ผู้กู้จะได้รับเงินผ่านทางบัญชี Cash Balance (P2P) เเละผู้กู้สามารถถอนเงินออกจากบัญชีดังกล่าวได้ตามขั้นตอนการถอนเงินออกจากบัญชีหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด ศึกษาขั้นตอนการถอนเงินผ่านระบบของบล. ลิเบอเรเตอร์ ได้ ที่นี่
  • การชำระคืนสินเชื่อมีขั้นตอนอย่างไร
    ระบบจะแจ้งวันครบกำหนดชำระคืนสินเชื่อให้ผู้กู้ทราบล่วงหน้า 7 วัน ในวันที่ครบกำหนดชำระคืนสินเชื่อ ให้ผู้กู้นำฝากยอดชำระคืนสินเชื่อเข้าในบัญชี Cash Balance (P2P) ภายในเวลา 14.00 น. หลังจากนั้นระบบจะทำการตัดยอดเพื่อโอนคืนให้แก่นักลงทุนโดยอัตโนมัติ หากไม่สามารถชำระคืนได้ครบถ้วนในเวลาดังกล่าว จะถือว่าผู้กู้ผิดนัดชำระและระบบจะดำเนินการตามขั้นตอนการบังคับขายหลักประกันต่อไป
  • ใครสามารถลงทุนผ่าน StockLend by NestiFly ได้บ้าง
    นักลงทุนสามารถเป็นได้ทั้งบุคคลธรรมดาเเละนิติบุคคล สำหรับนักลงทุนบุคคลธรรมดาต้องมีคุณสมบัติดังนี้ 1. บุคคลธรรมดาสัญชาติไทยอายุ 20 ปีขึ้นไป 2. มีบัญชีหลักทรัพย์กับผู้ให้บริการเก็บรักษาเงินและหลักประกัน (Custodian) บล.ลิเบอเรเตอร์ 3. ลงทุนผ่าน P2P Lending Platform ทุกรายรวมกันไม่เกิน 500,000 บาท ในรอบ 12 เดือน (self-declare) สำหรับนักลงทุนรายใหญ่หรือนักลงทุนที่มีลักษณะเฉพาะตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุนว่าด้วยการเสนอขายหลักทรัพย์ผ่านระบบคราวด์ฟันดิง สามารถลงทุนได้โดยไม่จำกัดวงเงิน
  • นักลงทุนต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง
    หากนักลงทุนมีบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์กับ บล. ลิเบอเรเตอร์ อยู่แล้ว สามารถใช้บัตรประชาชนตัวจริงที่ไม่หมดอายุเพื่อสมัครใช้บริการผ่านแอปพลิเคชัน StockLend by NestiFly ได้เลย หากนักลงทุนยังไม่มีบัญชีหลักทรัพย์กับ บล. ลิเบอเรเตอร์ นักลงทุนจะต้องเตรียมเอกสารสำหรับการเปิดบัญชีหลักทรัพย์กับ บล. ลิเบอเรเตอร์ ใหม่ ดูขั้นตอนการเปิดบัญชีลิเบอเรเตอร์ได้ ที่นี่
  • นักลงทุนสามารถกำหนดเกณฑ์การลงทุนอะไรได้บ้าง
    นักลงทุนจะสามารถกำหนดเกณฑ์ความเสี่ยงสูงสุดที่ยอมรับได้ ผ่านเงื่อนไขต่างๆ ดังนี้ 1. กลุ่มหุ้นที่สามารถใช้เป็นหลักประกัน 2. ระดับ LTV สูงสุดที่ยอมรับได้ 3. ระยะเวลาสูงสุดในการปล่อยสินเชื่อ 4. จำนวนเงินลงทุนสูงสุดต่อสัญญา ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม ที่นี่
  • นักลงทุนสามารถปล่อยวงเงินสินเชื่อได้เท่าไหร่
    การลงทุนขั้นต่ำเริ่มต้น 10,000 บาทต่อสัญญา โดยจะมีวงเงินลงทุนสูงสุด ดังนี้ 1. บุคคลธรรมดาที่เป็นนักลงทุนรายย่อย วงเงินลงทุนคงค้างสูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท 2. บุคคลธรรมดาที่เป็นผู้ลงทุนที่มีลักษณะเฉพาะ* วงเงินลงทุนคงค้างสูงสุดไม่เกิน 10,000,000 บาท 3. กรณีผู้ลงทุนสถาบัน กิจการร่วมลงทุน นิติบุคคลร่วมลงทุน* สามารถให้สินเชื่อได้โดยไม่จำกัดวงเงิน *ตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุนว่าด้วยการเสนอขายหลักทรัพย์ผ่านระบบคราวด์ฟันดิง
  • นักลงทุนจะสามารถโอนเงินเข้า-ออกจากบัญชี Cash Balance (P2P) ได้อย่างไร
    นักลงทุนสามารถโอนเงินเข้าออกบัญชี Cash Balance (P2P) ได้เช่นเดียวกับบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ทั่วไป หรือช่องทางอื่นๆ ที่ บล. ลิเบอเรเตอร์ กำหนด หรือจะโอนระหว่างบัญชีอื่นๆ และบัญชี Cash Balance (P2P) ก็ได้
  • นักลงทุนสามารถยกเลิกคำสั่งลงทุนได้หรือไม่
    การลงทุนผ่าน NestiFly จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อนักลงทุนกำหนดเกณฑ์การลงทุนและโอนเงินเข้าบัญชี Cash Balance (P2P) ดังนั้นหากนักลงทุนมีความประสงค์ที่จะยกเลิกคำสั่งลงทุน ให้นักลงทุนสั่งถอนเงินออกจากบัญชี Cash Balance (P2P) โดยนักลงทุนสามารถถอนเงินส่วนที่ยังจับคู่ไม่สำเร็จออกจากบัญชีดังกล่าวได้
  • การลงทุนใน StockLend by NestiFly มีค่าธรรมเนียมอะไรบ้าง
    ในปัจจุบัน แพลตฟอร์ม NestiFly ยังไม่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากนักลงทุน
  • ดอกเบี้ยที่ได้จากการลงทุนผ่าน NestiFly ต้องเสียภาษีหรือไม่
    ต้องเสียภาษี โดย NestiFly จะส่งสรุปผลตอบแทนที่คุณได้ตลอดทั้งปีไปทางอีเมลที่ได้ลงทะเบียนไว้ เพื่อให้คุณนำยอดผลตอบแทนไปคำนวณรวมกับเงินได้ของปีนั้น ๆ และนำส่งต่อกรมสรรพากรต่อไป
  • NestiFly มีวิธีการคัดเลือกหลักทรัพย์ที่นำมาเป็นหลักประกันอย่างไร
    NestiFly คัดเลือกหลักทรัพย์ที่สามารถนำมาใช้เป็นหลักประกันได้ จากการทดสอบความผันผวนของราคา สภาพคล่องของหุ้นย้อนหลัง เพื่อทดสอบความสามารถในการบังคับขายหลักประกัน และพิจารณาความสามารถในการดำเนินธุรกิจของบริษัทผ่านข้อมูลทางการเงินในรอบระยะเวลา 5 ปีย้อนหลัง เพื่อบริหารความเสี่ยงให้แก่นักลงทุน ทั้งนี้ NestiFly จะมีการทบทวนรายชื่อหุ้นหลักประกันเป็นประจำทุกเดือน ในกรณีที่มีเหตุการณ์ผิดปกติที่อาจส่งผลให้หุ้นตัวใดตัวหนึ่งมีความผันผวนของราคารุนแรง ระบบสามารถถอดหุ้นตัวดังกล่าวออกจากรายชื่อหุ้นหลักประกันได้ทันที นักลงทุนสามารถดูรายชื่อหุ้นหลักประกันได้ที่นี่ คลิก
  • หากหุ้นหลักประกันที่ปล่อยสินเชื่อไปแล้วหลุดออกจากรายชื่อหลักประกันจะดำเนินการอย่างไร
    สำหรับสัญญาเงินกู้ที่ปล่อยสินเชื่อไปแล้ว สัญญาดังกล่าวก็จะมีผลไปจนถึงวันครบกำหนด โดยทาง NestiFly จะคอยติดตามมูลค่าหลักประกันอย่างใกล้ชิดตามปกติ
  • NestiFly มีความถี่ในการประเมินมูลค่าหลักประกันมากน้อยเพียงใด
    ทุกสิ้นวัน หลังจากทราบราคาปิดของหุ้นจากตลาดหลักทรัพย์
  • ในกรณีเงินที่ได้จากการบังคับขายหลักประกันทั้งหมด ไม่เพียงพอต่อการชำระคืนสินเชื่อจะทำอย่างไร
    NestiFly จะให้เวลาผู้กู้อีก 10 วันทำการ เพื่อนำเงินมาชำระสินเชื่อคงค้างและดอกเบี้ยผิดนัด หากผู้กู้ไม่สามารถนำเงินมาชำระได้ภายในวันและเวลาที่กำหนด NestiFly จะทำการระงับบัญชีผู้ใช้ และจัดส่งสัญญาฉบับเปิดเผยข้อมูลคู่สัญญาให้แก่นักลงทุนทุกราย เพื่อให้นักลงทุนนำไปใช้ดำเนินการทางกฏหมายต่อไป
  • นักลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนเพิ่มเติมจากการที่มูลค่าหลักประกันเพิ่มขึ้นหรือไม่
    ไม่มี เนื่องจาก NestiFly จะทำการบังคับขายหลักประกันแค่ให้เพียงพอต่อการชำระคืนสินเชื่อเท่านั้น เงินส่วนเกินจากการบังคับขายหลักทรัพย์ค้ำประกันหรือหุ้นที่เหลืออยู่จะถูกส่งคืนให้ผู้กู้
bottom of page